
กรุงเทพฯ ประเทศไทย (16 ธันวาคม 2568) – ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Food Supplements and Nutrition: FSN) ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มโปรตีนสูง เครื่องดื่มเสริมวิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ คาดว่าจะมีมูลค่าราว 758.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2034 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7%1 ต่อปี ซึ่งประเทศไทยได้สะท้อนภาพรวมของตลาดโลกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนสูงหรือไฮโปรตีนเติบโตมากกว่า 126% ภายในสองปี แตะมูลค่า 4,300 ล้านบาทในช่วงกลางปี 20252 ซึ่งมาจากกระแสการออกกำลังกายที่มาแรง ผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพกลายเป็นตัวเลือกในชีวิตประจำวันของคนไทย
เต็ดตรา แพ้ค ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อค้นหาเทรนด์และความต้องการที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของตลาด เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้
ตลาดอาหารเสริมและโภชนาการกำลังเผชิญกับการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก โดยพบว่า “แรงกระตุ้นจากผู้บริโภค” และ “รสชาติท้องถิ่น” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตามผลการวิจัยล่าสุดของเต็ดตรา แพ้ค3 ที่ระบุว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่เพียงเพราะคุณประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ แต่ยังคำนึงถึงความรู้สึกทางอารมณ์ แรงบันดาลใจ และความเชื่อมั่นในคุณค่าที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มอบให้
ผู้บริโภคต้องการโภชนาการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตน
ผลสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคกำลังมองผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (FSN) เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้านมากขึ้น โดยปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้บริโภค ได้แก่ สุขภาพที่แข็งแรง (58%) เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนในแต่ละวัน (51%) และสามารถให้พลังงานที่ดีและเพียงพอในวันที่วุ่นวาย (47%) นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมองไปถึงการเสริมสุขภาวะทางจิตใจและสมรรถภาพทางกายที่ดีขึ้น
การให้ความมั่นใจทางอารมณ์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ โดย 42% ต้องการรู้สึกว่าสามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้ ขณะที่ 39% ต้องการความสบายใจเรื่องโภชนาการ และ 30% ต้องการความรู้สึกสมดุลหรือผ่อนคลายมากขึ้น
นอกเหนือจากปัจจัยด้านสุขภาพแล้ว ความสะดวกในการใช้งาน ก็มีบทบาทสำคัญ โดยมีผู้บริโภค 21% ที่ต้องการสินค้าที่เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ และ 18% กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมอาหารหรือของว่างมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันไปในกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้บริโภควัยหนุ่มสาวให้ความสำคัญกับรสชาติ ขณะที่ผู้บริโภคผู้สูงอายุจะมองเรื่องของโภชนาการเป็นหลัก
ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่ดื่มได้กำลังได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดย 59% แสดงความสนใจในทางเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พร้อมดื่ม ความโดดเด่นในเรื่องของการใช้งานที่บริโภคได้ง่าย ไม่ต้องเตรียมการมาก และสะดวกในการเก็บหรือพกพา เหมาะสำหรับการบริโภคระหว่างวัน ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มแบบพาสเจอไรซ์ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 96% อย่างไรก็ดีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบยูเอชที (UHT) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มเครื่องดื่มโปรตีนสำหรับไลฟ์สไตล์ประจำวันเช่นกัน4 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยที่ต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พกพาสะดวก เข้าถึงง่าย พร้อมความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์และอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น
แอนนา ลาร์สสัน หัวหน้าฝ่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค ให้ความเห็นว่า “ความสะดวกยังคงเป็นความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภค สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ นี่คือโอกาสที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่สะดวกและทันสมัย เพื่อตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปและมอบคุณค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ความสนใจในหมวดหมู่นี้ไม่ได้มีแค่เรื่องความสะดวกเพียงอย่างเดียว โดย 71% ของผู้บริโภคกล่าวถึงความชื่นชอบต่อผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปจากส่วนผสมธรรมชาติมากกว่าสารสังเคราะห์ที่ได้ผลเร็ว และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการมองหาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นคุณค่าและสนับสนุนการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ”
จากการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นถึงจุดที่ผู้บริโภคยังมีความกังวล ซึ่งบรรจุภัณฑ์สามารถช่วยแก้ไขได้ ตั้งแต่เรื่องความอ่อนไหวต่อราคา ความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ความสะดวกในการใช้งาน ไปจนถึงความโปร่งใสของส่วนผสม ทั้งนี้ มีผู้บริโภคถึง 63% ที่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเดิมที่พร้อมดื่ม บรรจุภัณฑ์แบบขนาดพกพาและเก็บได้นานจึงตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว
การวิจัยล่าสุดของเต็ดตรา แพ้ค ช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับวิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์กระดาษที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไปจนถึงข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้จริงในการพัฒนาสูตรและกำหนดตำแหน่งทางการตลาด ช่วยสนับสนุนเจ้าของแบรนด์สร้างผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น แตกต่าง ทั้งในด้านคุณประโยชน์และคุณค่าที่ดีต่อใจ พร้อมเพิ่มโอกาสในการครองส่วนแบ่งในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ โซลูชันฝาบรรจุภัณฑ์จากเต็ดตรา แพ้ค ยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของกล่องเครื่องดื่มที่บรรจุผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นฝา DreamCap™26 ที่มาพร้อมทั้งความสะดวกและสุขอนามัยในการใช้งาน ทั้งยังเสริมให้โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า ในขณะที่ฝาแบบติดกับตัวบรรจุภัณฑ์ (Tethered Cap) เข้ามาเสริมมาตรฐานด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดรับทั้งข้อกำหนดที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐและความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ เมื่อรวมเข้ากับจุดเด่นของบรรจุภัณฑ์กระดาษที่น้ำหนักเบา พกพาง่าย และทำจากวัสดุหมุนเวียน รูปแบบฝาบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ยิ่งทำให้กล่องเครื่องดื่มยูเอชที เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในยุคปัจจุบันมากขึ้นไปอีก
คุณสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสรุป “กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีสัดส่วนการเติบโตที่รวดเร็วมาก ๆ ในประเทศไทย จากตลาดเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเจเนอเรชัน นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตไทยในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความสะดวก รวดเร็ว และสามารถบริโภคได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยูเอชที ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเก็บรักษาได้นาน พกพาไปได้ง่าย พร้อมปกป้องคุณภาพได้ดี ไปจนถึงรูปแบบที่บรรจุในกล่องกระดาษที่มีน้ำหนักเบาและสะดุดตาบนชั้นวางสินค้ามากกว่ารูปแบบอื่น ๆ โดยเต็ดตรา แพ้ค ทำงานเคียงข้างแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ตั้งแต่การให้คำแนะนำข้อมูลเชิงลึก การพัฒนาสูตร รูปแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและโดดเด่นในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างแท้จริง”
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของเต็ดตรา แพ้ค ได้ที่ เว็บไซต์
หมายเหตุ
เกี่ยวกับ เต็ดตรา แพ้ค
เรามุ่งมั่นในการทำให้อาหารปลอดภัยและเข้าถึงได้ ด้วยการนำเสนอระบบการผลิตอาหารที่ล้ำสมัย โดยอาศัยความร่วมมือกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ พร้อมกับพนักงานผู้ทุ่มเทของเรากว่า 24,000 คนทั่วโลก ในการปกป้องอาหารอย่างยั่งยืนในทุกวัน เพื่อผู้คนหลายร้อยล้านคนในกว่า 160 ประเทศ เพราะนี่คือเป้าหมายที่เรายึดมั่น
เรามุ่งมั่นที่จะผลิตอาหารที่ปลอดภัยและซื้อหาได้ในทุกที่ และยืนยันที่จะปกป้องทุกคุณค่า ด้วยการปกป้องอาหาร ผู้คน และโลกของเรา
ข้อมูลเกี่ยวกับ เต็ดตรา แพ้ค กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.tetrapak.com/en-th
1 https://www.precedenceresearch.com/nutritional-supplements-market
2 อ้างอิงรายงานการตลาด จาก Nielsen MAT2025 หัวข้อTotal Dairy & Plant-based High Protein, ending June 2025
3 การวิจัย FSN Global Consumer Research ของ เต็ดตรา แพ้ค ได้ดำเนินการโดย Ipsos ในเดือนกรกฎาคม 2025
ผ่านการสำรวจผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ จำนวน 25,547 คน ตั้งแต่พ่อแม่ที่มีบุตร ผู้ใหญ่ (อายุระหว่าง 16-65 ปี) และผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ครอบคลุม 17 ประเทศ
4 อ้างอิงรายงานการตลาด จาก Nielsen MAT2025 หัวข้อ Total Dairy & Plant-based High Protein, ending June 2025
หากสื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด
ฐาปนี จันทร์หอม
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์: +662-018-3000
อีเมล: Tapanee.Junhom@tetrapak.com
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (วีโร่ ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์)
วิมลพรรณ นามพาโชค
โทรศัพท์: +66 96 669 9746
อีเมล: wimonphan@vero-asean.com หรือ tetrapakTH@vero-asean.com